เทศน์บนศาลา

เลือดในอก

๑๘ ก.พ. ๒๕๕๔

 

เลือดในอก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอ้า.. ตั้งใจฟังธรรม.. ทำไมต้องฟังธรรม ? เพราะการฟังธรรม จิตใจมีผู้กล่อม เด็กน้อยเวลาจะนอนเห็นไหม พ่อแม่กล่อมเพื่อให้ลูกหลับ ไอ้การที่ลูกหลับนั้นลูกหลับพักผ่อน แต่ธรรม.. ธรรมกล่อมใจ ไม่ใช่หลับพักผ่อน ให้ตื่นตัว การตื่นตัวของใจ ถ้าใจมีความสงบร่มเย็น สิ่งนั้นเห็นไหม อาศัยธรรมเกาะไป

เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกนะ ว่าภาคปฏิบัติเรา ความสำคัญที่สุดคือการฟังธรรม เพราะเวลาสมัยพุทธกาล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม แสดงธรรมนะ เทวดาก็สำเร็จ มนุษย์ก็สำเร็จ สิ่งที่สำเร็จเห็นไหม สำเร็จเพราะอะไร เพราะจิตใจ.. จิตใจที่มันมีการกระทำ

จิตใจเราเราฝึกฝนของเรามา เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุเวลาปฏิบัติเกือบถึงที่สุดแห่งทุกข์ มีความลังเลสงสัย จะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปถึงกุฏิเห็นไหม ฝนตกหนัก พอฝนตกหนักก็เจิ่งนองไปด้วยน้ำ เวลาเม็ดฝนหยดจากชายคาลงไปเป็นจุดเป็นต่อม คำว่าเป็นจุดเป็นต่อม เห็นเป็นจุดเป็นต่อม เพราะจิตใจฝึกมา จิตใจปฏิบัติมา จนจะถึงที่สุดแห่งทุกข์

แต่ขณะที่ปัญญาหมุนนะ กำลังมันไม่พอ กำลังไม่พอมันทะลุไปไม่ได้ พอทะลุไปไม่ได้ก็จะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้แก้ไข จิตใจมันกำลังค้นคว้า ปัญญามันกำลังหมุนเต็มที่ของมัน เวลาไปเห็นจุดและต่อม มันแตกเป็นฟองขึ้นมา แล้วก็แตกเป็นฟองไป พอไปเห็นอย่างนั้นมันก็กระทบถึงใจเห็นไหม

สิ่งที่เป็นไปได้.. เป็นไปได้เพราะเหตุใด เป็นไปได้เพราะมีการกระทำ เป็นไปได้เพราะว่าเขาฝึกปฏิบัติของเขามา แล้วสิ่งที่เป็นวุฒิภาวะในหัวใจ ใครจะไปวัดของใครได้ล่ะ มนุษย์เหมือนกัน แต่มนุษย์ไม่เหมือนกัน

มนุษย์เหมือนกันคือเป็นคนเหมือนกันไง บวชพระเป็นพระเหมือนกัน แต่จิตใจของบุคคลคนนั้นแตกต่างกัน แตกต่างกันเพราะมีการประพฤติปฏิบัติเห็นไหม นี่คือการฟังธรรม การฟังธรรมสำคัญเพราะว่าจิตใจมันเกาะสิ่งนั้นไป ความลังเลสงสัย สิ่งที่เรายังไม่แน่ใจ “จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง” ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อยนะ ถ้าจิตใจที่มีธรรม การแสดงออกมา มันแสดงออกมาจากข้อเท็จจริงอันนั้น

แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เรากำลังแสวงหาสิ่งนี้อยู่ เรากำลังแสวงหาสิ่งนี้อยู่ สิ่งที่เรากำลังแสวงหาสิ่งนี้อยู่ แล้วจิตใจเรากำลังไขว่คว้า กำลังเรรวน กำลังไม่มีหลักเกาะเห็นไหม การฟังธรรมถึงเป็นภาคปฏิบัติที่สำคัญที่สุด แล้วเวลาเราฟังธรรมแล้วนะ เรามีความลังเลสงสัย เรามีความไม่แน่ใจ เรามีความกังวลต่างๆ สิ่งนี้มันจะเข้าไปเป็นข้อมูลที่แตกต่างที่จะเป็นข้อพิสูจน์ของเรา

ขณะฟังอยู่ ถ้ามันชำแรกเข้ามาในจิตใจของเรา แล้วจิตใจมันลงนั้นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าจิตใจมันยังไม่ลง แต่เราได้ประเด็น พอเราได้ประเด็นขึ้นมา เราไปประพฤติปฏิบัติของเรา เอาสิ่งนั้นมาเป็นประเด็น มันก็มาแยกแยะในหัวใจของเรา การฟังนะ มันเป็นการจุดประกายหัวใจไง

แต่ถ้าเราปฏิบัติของเรา โดยที่เราไม่ได้ยินได้ฟังเห็นไหม มันพยายามทำแล้วทำเล่า เอาหัวชนภูเขา บอกว่าปฏิบัติธรรมๆ แต่ทำไมมันทุกข์ขนาดนี้ ไหนว่าความสงบของใจมีความสุขๆ ทำไมเราทุกข์ขนาดนี้ ...แลกมาด้วยทุกข์

ครูบาอาจารย์ของเราแลกมาด้วยทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาปฏิบัติมาค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ไม่ทุกข์เหรอ ทุกข์มากๆ เรานะ ดูสิ เวลาเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่านในหัวใจ แล้วเราก็มีแรงปรารถนาว่าเราอยากจะพ้นจากทุกข์ จิตใจเราละล้าละลังไหม จิตใจเราละล้าละลัง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามา ๖ ปีเห็นไหม ปรารถนามา จะพ้นจากทุกข์ให้ได้ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้าม ถ้ามีฝั่งตรงข้าม ทำอย่างไรมันถึงจะทำให้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เราก็มีเป้าหมายของเรา

แล้วเราปฏิบัติอยู่ มันยังไปไหนไม่รอด มันมีความทุกข์ไหม มีความทุกข์ทั้งนั้น ถึงบอกว่า แลกมาด้วยทุกข์ แลกมาทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ทุกข์ไง ทุกข์เพราะมันขัดแย้งกับหัวใจ ทุกข์มันไม่พอใจมันก็เป็นความทุกข์ สิ่งใดที่เป็นความพอใจ สิ่งใดมีแรงปรารถนา มีความพอใจ สมความปรารถนา สิ่งนั้นเป็นสุข มันก็อันเดียวกัน ไม่ปรารถนากับปรารถนาออกมาจากไหน? ออกมาจากใจ และถ้าไม่ปรารถนาทำไมมันทุกข์ล่ะ?

มันทุกข์เพราะว่ากิเลสตัณหาทะยานอยากของเรามันโต้แย้ง แต่เวลาถ้ามันพอใจล่ะ มันเป็นตัณหาหรือเปล่า? มันก็เป็น แต่ทำไมมันพอใจล่ะ? เห็นไหมนี่เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา สิ่งนี้มันสะสมในหัวใจ เราก็ไม่เข้าใจ แล้วสิ่งใดประพฤติปฏิบัติยิ่งแล้วใหญ่เลย เวลาปฏิบัติไป ถ้าทำแล้วมันพอใจ ทำแล้วมันมีความพอใจมีความสุข

คำว่าความสุข ความสุขอยู่ที่ไหนล่ะ? กิเลสมันหลอกได้นะ กิเลสมันบังเงา เวลาเราเผชิญหน้ากับความทุกข์นะ เราไม่พอใจสิ่งใดๆ เลย แต่เวลากิเลสมันบังเงา มันก็เผชิญหน้ากับความทุกข์นะ มันบังเงาไง บังเงาว่าสิ่งนี้มันจะเป็นธรรม.. สิ่งนี้มันจะเป็นความจริงของเรา.. มันเป็นไปของมันนะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติ ค้นคว้ามา ถึงรู้เล่ห์ รู้เหลี่ยม รู้ทันมัน รู้ทันกิเลสของเรา มันคือใคร? มันคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่ทำให้เราเกิดอยู่นี้

“อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ”

อวิชชา.. อวิชชามันอยู่ที่ไหน? มันอยู่ในปฏิสนธิจิต มันอยู่ในภวาสวะ อยู่ในภพ อยู่ในจิตของเรา อยู่ในฐานความรู้สึก ภวาสวะคือภพ คือสถานะของความรู้สึกอันนี้ แล้วมันมีแรงขับ แรงขับด้วยบุญด้วยกุศล เวียนตายเวียนเกิดกันอยู่นี้ เวียนไปเวียนมาอยู่นี้ แล้วเวียนไปเวียนมาพอเราเกิดมาเป็นมนุษย์เราก็มีศักยภาพนะ มองไปที่สัตว์ ดูถูกมันว่าเรามีสถานะเหนือกว่า มองไปที่ไหนทิฐิมานะมันเกิดนะ

ทิฐิมานะมันทำให้ชีวิตเราล่วงไปๆ นะ แต่ถ้าได้ฟังธรรม มันเตือนสติเรา คำว่าเตือนสติเรา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นค้นคว้ามาขนาดไหน แล้วสิ่งที่ค้นคว้านี่ค้นมาเพื่อใคร ก็เพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วใช่ไหม ถึงได้เทศน์ธรรมจักรเห็นไหม

“ทเวเม ภิกฺขเว..” ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ

ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ.. โลกเขาทำอะไรกันอยู่ กามสุขัลลิกานุโยค กามคุณ สิ่งนี้เป็นคุณ เป็นคุณเพราะอะไร เป็นคุณเพราะเรามีศีลมีธรรมควบคุมมัน เป็นคุณนะกามคุณ เพราะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่สูญพันธุ์ไป ทำให้ครอบครัวตระกูลนั้นยั่งยืนต่อไป ยั่งยืนเพราะอะไร เพราะครอบครัวนั้นมีศีลมีธรรม ทำให้ครอบครัวนั้นร่มเย็นเป็นสุขใช่ไหม นี่คือกามคุณ

แล้วถ้ามันเป็นโทษล่ะ? ถ้ามันเป็นโทษมันเผาผลาญมันทำลายทั้งนั้นเลย อัตตกิลมถานุโยค ทำตัวเองให้ลำบากเปล่า ลำบากเปล่าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติมา ๖ ปีนี่ลำบากเปล่า มัชฌิมาปฏิปทาเป็นอย่างไร ? ในเมื่อจิตมันสงบแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้า ถ้าไม่สร้างมานะ การตรัสรู้เองโดยชอบมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น

เราสาวก สาวกะ มีตำรา มีอริยสัจ มีความจริง มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้นำ เป็นผู้คอยชี้นำ แต่เราเกิดมาแล้วเราดูถูกชีวิตของเราเอง เราเกิดมาแล้วเราเป็นมนุษย์ เราเกิดมาแล้วเราทำมาหากิน เราแสวงหาเพื่อศักยภาพทางโลก เราดูถูกตัวเราเองไง! ดูถูกตัวเอง ถ้ามนุษย์อยู่กับโลก อยู่กับความเป็นไปโดยไม่สนใจในศาสนา มันก็เหมือนแร่ธาตุอันหนึ่ง แร่ธาตุของโลกดูสิ ดูใบไม้ใบหนึ่ง เวลามันหลุดจากขั้ว มันทับถมลงดิน มันยังเป็นปุ๋ยเป็นสิ่งมีประโยชน์ มนุษย์ล่ะ ดูสิ เวลาเขาไปรบกัน เขาว่าเป็นปุ๋ยกลับมาๆ เพราะตายกลับมาร่างกายก็เป็นปุ๋ย

แล้วชีวิตเราเห็นไหม เรามองข้ามสิ่งนี้ไป แต่ถ้าเรามีสติปัญญา ถึงเราเป็นสาวก สาวกะ เราได้ยินได้ฟังขึ้นมาแล้วมันสะเทือนใจเรา ถ้ามันสะเทือนใจเรา มันก็ต้องออกแสวงหา แสวงหาไปที่ไหนล่ะ? แสวงหาทางออกอยู่ที่ไหน? ถ้าแสวงหาขึ้นมาในหัวใจของเรามันจะเป็นทางออกได้ ถ้าแสวงหาตะครุบเงาไปข้างนอก ตะครุบเงามันจะจบสิ้นไปเมื่อไหร่? มันจะจบสิ้นไปไม่ได้!

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว วางธรรมและวินัยไว้แล้ว เวลาไปแสดงธรรมขึ้นมา เราฟังธรรมๆ นะ เวลาฟังธรรมขึ้นมา ผู้มีความสนใจ เห็นไหม ไปเอาปัญจวัคคีย์ก่อน ๕ องค์ ไปเอายสสะ ยสสะอีก ๔๕ เห็นไหม

“เธอกับเรา พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธอจงอย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้ต้องการที่พึ่ง เธออย่าไปซ้อนทางกัน” ต่างคนต่างแยกไปเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปเอาชฎิล ๓ พี่น้อง เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด “เอหิภิกขุ เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด” เพื่อสิ้นสุดแห่งทุกข์ “เธอเป็นภิกษุมาเถิด เธอเป็นภิกษุมาเถิด” นี่ไง เอหิภิกขุ คลอดออกมาเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้ สอนให้ จนถึงที่สุดเป็นผู้ที่สิ้นกิเลส

เวลาเห็นบุญเห็นคุณ ความเห็นบุญเห็นคุณของสาวก สาวกะ ดูปัญจวัคคีย์สิ อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เพื่ออะไร เพื่อมีคนชี้นำ แต่เวลาเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมาฉันอาหารของนางสุชาดา นี่กลับมาเป็นผู้มักมาก ปฏิเสธเลย หนีไปเลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เสวยวิมุตติสุข ตรัสรู้แล้วมันเหนือโลก สิ่งที่เหนือโลก.. โลกรู้ด้วยไม่ได้! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์เวลาบรรลุธรรมขึ้นมาแล้วก็ต้องเตรียมตัวสั่งสอน ทำไมถึงทอดธุระล่ะ เพราะว่ามันคนละเรื่องกับโลก วิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์กันอยู่นี้มันเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องโลกๆ แต่ถ้าเป็นธรรมะมันมีความรู้สึก มีความอ้อยสร้อย มีสิ่งต่อรอง กิเลสมันอ้อยสร้อยมากกว่านั้นนัก!

วิทยาศาสตร์.. เราพูดกันด้วยวิทยาศาสตร์ ด้วยข้อเท็จจริง เราต้องยอมรับกันใช่ไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนข้อเท็จจริง อริยสัจเป็นความจริงอย่างนี้ ความจริงอย่างนี้แต่ทำไมคนนี้ทำได้ คนนี้ทำไม่ได้ล่ะ? ปฏิบัติแล้วทำไมบางคนประสบความสำเร็จ บางคนไม่ประสบความสำเร็จล่ะ? มันมีตัวแปร ตัวแปรทางจิต ตัวแปรทางกิเลสตัณหาทะยานอยากในหัวใจอีกมหาศาลเลย

เวลาปัญจวัคคีย์เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาฉันอาหารของนางสุชาดา ปฏิเสธเลย ขณะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มันเป็นมุมมอง โลกเข้าถึงธรรมไม่ได้! แต่เวลาศาสนาเผยแผ่ก็เผยแผ่โดยโลกนี่แหละ เพราะเราเกิดมาโดยโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็เกิดมาในโลกนะ

ถ้าไม่เกิดมาในโลก ผลของวัฏฏะ จิตนี้เวียนตายเวียนเกิดไปในผลของวัฏฏะ เราจะไปเกิดที่ไหน เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม แล้วจะไปตรัสรู้กันที่ไหน แต่เราเกิดมาในโลกเห็นไหม เกิดมาในโลกมันมีสถานะ มันมีมนุษย์ มันมีรูปธรรม สิ่งที่จะพิสูจน์กัน! สิ่งที่จะพิสูจน์ตรวจสอบกัน! เวลาเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้ว เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพ่อเป็นกษัตริย์ พิสูจน์กันด้วยสถานะเลย แล้วปฏิเสธว่าสิ่งนี้มันจะทำให้พัวพัน จะทำให้ชีวิตนี้หมดไปอีกชาติหนึ่ง

ปฏิเสธแล้วออกแสวงหา การออกแสวงหาเห็นไหม บอกว่า “สภาวธรรม.. สภาวธรรม..” ธรรมมันเกิดมาจากไหน? ธรรมมันเกิดมาจากหัวใจ ถ้าหัวใจนี่ความรู้สึกความนึกคิดเพราะอะไร “วิญญาณปฏิสนธิ” มันหลั่งลงในไข่ ในครรภ์ ในน้ำคร่ำ ในโอปปาติกะ นี่เวลามันเกิด สิ่งนี้มันมีคุณค่าที่มันจะหมุนไป เวลาเราบอกเรามีชีวิตเห็นไหม เวลาเด็กคลอดขึ้นมา ลูกคลอดขึ้นมาทุกคนดีใจ “โอ้.. ลูก ชีวิตใหม่เกิดแล้ว ชีวิตใหม่เกิดแล้ว”

แต่เขาไม่เห็นว่าปฏิสนธิในไข่มันเกิดเมื่อไหร่ เวลาโอปปาติกะมันเกิดเมื่อไหร่ มันเป็นผลของเวรของกรรม เราไปรับโลก โลกรับรู้ได้แต่สิ่งที่จับต้องได้ สิ่งที่จับต้องได้เป็นวิทยาศาสตร์ ที่ว่าสิ่งนี้เป็นชีวิตที่มีคุณค่า มีคุณค่าแต่ถ้าเราไม่มีสติปัญญาของเรา มันมีคุณประโยชน์ มันมีทรัพย์ที่ซ้อนอยู่กับชีวิตเราอีกชั้นหนึ่ง

เรารู้ได้แต่เรื่องโลกๆ รู้ได้แต่สถานะที่เราพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ไง แต่เราไม่รู้ได้ว่าใครมีบารมี!! เรารู้ไม่ได้ว่าใครจะมีสถานะที่จะถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ แล้วสิ่งนี้มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในหัวใจของเราเห็นไหม เราถึงบอกว่าเรามองข้ามความสำคัญของเราไง เราไปมองข้ามว่าชีวิตของเราต้องประสบความสำเร็จ เราจะต้องมีสถานะ เราจะต้องมีชื่อจารึกลงในประวัติศาสตร์ แล้วมันก็ตายหมด!!

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราฟังของเรา มันจะสะเทือนใจของเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรม ไปเอาชฎิล ๓ พี่น้อง จนถึงที่สุดนะเป็นที่สุดแห่งทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บวชให้ เอหิภิกขุ

เอหิภิกขุ บวชให้ สอนให้ เห็นไหมสอนให้จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ นี่คือเลือดในอก! คลอดมาจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ องค์เห็นไหม เห็นมีคุณค่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จะต้องมีภิกษุ มีเอหิภิกขุที่จะเข้ามาเคารพ จะวัดบารมีกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานะ ๑,๒๕๐ องค์ นี่เลือดในอกนะ เลือดในหัวอก คลอดมา บวชมา สั่งสอนมา เพื่ออะไร เพื่อคุณธรรมอันนี้ไง

เวลามาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่นใจไหม ผลงานของเรา เวลาตรัสรู้ขึ้นมานี่ “จะสอนเขาได้อย่างไร..” มันลึกลับซับซ้อนนัก แต่ผู้ที่รักการฝึกฝน แล้วมีการกระทำขึ้นมา เขาก็สร้างวาสนาของเขามา แต่..สร้างวาสนามา ดูปัญจวัคคีย์สิ กว่าจะเอาปัญจวัคคีย์ได้ ยสสะนะ “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่ทุกข์ยากหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” เห็นไหม “ยสสะมานี่ ที่นี่ไม่เดือดร้อน” เดือดร้อนออกมาจากไหน เดือดร้อนออกมาจากปราสาท ๓ หลัง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ในป่า ยสสะมาด้วยชีวิตโลกไง เขาแสวงหา เรามีปราสาท ๓ หลังเห็นไหม “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่ทุกข์ยากหนอ” ทิ้งออกมานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ “ยสสะ ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่ขัดข้อง” ฟังเทศน์เป็นพระโสดาบัน พ่อแม่ตามมา พ่อแม่ตามมาก็เทศน์อีกทีเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา

เพื่อนฝูงได้ยินข่าวมาตามหา เป็นพระอรหันต์หมดเลย เพราะมันมีบุญกุศลของเขา เขาได้สร้างบุญกุศลของเขา สิ่งที่บุญกุศล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการนี่เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดนะ

นี่ “คุณ” เห็นไหม เลือดในอก เลือดในอกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ องค์ แล้วมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปลื้มใจไหม จะมีความสุขไหม พระอรหันต์ต้องมีความสุขอีกไหม ?

เราบอกว่าพระอรหันต์แล้วไม่ต้องมีความสุข ไม่ต้องมีสิ่งใดมาเจือปนอีกเลย พระอรหันต์ไม่ต้องมีความสุข เพราะการแก้กิเลสแล้วมันแก้กิเลสแล้ว แต่มันเป็นหน้าที่ คำว่าเป็นหน้าที่ เพราะว่าสร้างบุญญาธิการมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอกนามกิง

การจะเกิดกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายากแค้นแสนเข็ญนัก เวลาปรารถนาพุทธภูมิขึ้นไปว่าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต้องเพิ่มบารมีของเราขึ้นไป แต่ขณะที่สร้างขึ้นมา ก็สร้างมาเพื่อเหตุนี้

ฉะนั้น ดูสิ ทางวิชาชีพทางโลกเห็นไหม เราเป็นอาจารย์ เราเป็นผู้สั่งสอน เราสอนลูกศิษย์ลูกหา ถ้าเราเป็นอาจารย์ที่ดี ลูกศิษย์ลูกหาเขาก็เคารพศรัทธาของเขา เขาคิดถึงคุณตลอดเวลานะ นี่คือวิชาชีพนะ วิชาชีพทางโลก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์นะ มันไม่มีครูคนไหนสอนได้ ไม่มีอาจารย์คนไหนสอนได้หรอก เพราะอาจารย์ของเขานี่เขามืดบอด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนขึ้นมาแล้ว สิ่งนี้สอนได้ “เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก” เห็นไหม

ถ้าบุคคลากรไปซ้อนกัน มันเสีย กว่าจะสร้างได้มันแสนยาก ฉะนั้นออกไปแล้วอย่าซ้อนกัน แล้วออกไปนี่เห็นไหม เวลาไปเผยแผ่ พระอัสสชิไปได้พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ได้ขึ้นมาสืบต่อกันไป สิ่งนี้เป็นคุณประโยชน์เห็นไหม

นี่พูดถึงเลือดในอกที่เป็นเลือดที่ดีนะ แต่ถ้ามันเป็นเลือดชั่วล่ะ ถ้ามันเป็นเลือดชั่วเห็นไหม มันจะทำลาย.. ทำลายศักยภาพ ทำลายสภาพของสังคมๆ นั้น ดูนะ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัยขนาดไหนนะ พระฉัพพัคคีย์ มีแต่คอยจะทำลาย เอาแต่ความสะดวกสบายของตัว สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติแล้ว คอยหลบคอยหลีกนะ

บัญญัติ อนุบัญญัติ นี่เกิดจากพระฉัพพัคคีย์นะ เกิดมากเลย นี่พูดถึงเลือดชั่วนะ ถ้าเลือดชั่วแล้วเขาบวชเข้ามาทำไม เขาบวชเข้ามาในพุทธศาสนาทำไม เขามาอยู่ในสังคมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไม

ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมาขนาดนี้ เห็นไหม คนจะถามกันมากเลยว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ว่าเทวทัตจะมาทำลายศาสนา แล้วให้บวชทำไม? ให้บวชทำไม?

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าไม่ให้บวช มันจะเลวร้ายกว่านี้ไง แต่ เพราะให้บวชแล้ว เวลาที่บวชเข้ามาในพุทธศาสนาแล้ว ทำฌานโลกีย์ได้ เหาะเหินเดินฟ้าได้นะ เวลาไปทรมานอชาตศัตรูด้วยฤทธิ์ด้วยเดชนะ แต่หัวใจของเขามันไม่เป็นธรรม

นี่พูดถึงถ้าเลือดมันชั่ว! มันทำลาย.. แต่ทำลายล้างขนาดไหนมันก็เป็นเลือดในร่างกายเราใช่ไหม นี่พูดถึงเลือดในร่างกายเรานะ แต่ในการประพฤติปฏิบัติล่ะ ในการประพฤติปฏิบัติของเรา สิ่งนี้ สิ่งที่เป็นธรรมนี้มันเป็นคติธรรมของเรา

เราคิดสิ เราคิดถึงหัวอกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้วันมาฆะบูชา เอหิภิกขุ เลือดในอก บวชให้เอง สอนเอง ทำเองจนทุกอย่างเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลยมันก็ชื่นใจใช่ไหม เพราะอะไร เพราะได้สร้างบุญญาธิการมา

เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา “จะสอนใครได้หนอๆ” เพราะมันลึกลับซับซ้อนเกินไป ลึกลับซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะคิดแบบโลกๆ นี้ แต่พวกเราเดี๋ยวนี้บอกว่าเป็นปัญญาชนๆ ปัญญาชนจะคิดแบบโลกๆ นี่ว่าเรามีปัญญา เรามีความรู้ ทำไมต้องไปลำบากลำบนจะต้องไปทรมานตนทำไม มันต้องไม่ทรมานตน แล้วจะเอาภวาสวะ จะเอาสมาธิ จะเอาจิตตัวไหนมาพิจารณา

ถ้าไม่พิจารณา... กิเลสมันอยู่ที่ไหน กิเลสมันปฏิสนธิจิต มันไม่อยู่ที่ความคิด มันไม่ได้อยู่ที่ความรับรู้สึกนี้ ความรู้สึกนี้มันเป็นสัญชาติญาณ มันเป็นเรื่องของโลก มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ธรรมชาติของการเกิดเป็นมนุษย์มันก็มีอารมณ์ความรู้สึกใช่ไหม

สิ่งต่างๆ นี้ แล้วเราก็บอกศึกษาธรรมะ.. ศึกษาธรรมะ.. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนจากตรงนี้ ตรงที่ว่าเวลาแสดงธรรมเห็นไหม อนุปุพพิกถา เริ่มต้นจากการเสียสละทาน พอเสียสละทานแล้วเธอจะได้บุญกุศล เธอจะได้เป็นเกิดเป็นเทวดา ถ้าเกิดเป็นเทวดาแล้วมันก็ต้องเวียนตายเวียนเกิด ก็บอกให้เนกขัมมะ เนกขัมมะเสร็จแล้ว ถ้าจิตควรแก้การงาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงจะเทศน์อริยสัจ

แต่ในปัจจุบันนี้ไม่ต้อง! ไม่ต้องทำอะไรกันเลย! อยู่เฉยๆ รอเป็นพระอรหันต์ ด้วยความมักง่าย แล้วเวลาพูดถึงธรรมะขึ้นมาก็ “ทำไมต้องลำบากลำบนขนาดนั้น..” ลำบากลำบนนะ คนมักง่ายจะได้ยาก! คนที่มุมานะคนนั้นจะได้ประสบความสำเร็จ

ฉะนั้น สิ่งที่เป็นการกระทำอย่างนี้มันอยู่ที่จิตใจของเรา จิตใจมุมมองของเรานะ มุมมองความรับรู้สึกของเรานี่คืออำนาจวาสนาล่ะ ถ้ามุมมองของเรามันฉงนสนเท่ห์ไปทุกอย่างเลย กับสิ่งใดเราก็ไม่ยอมรับ ไม่ยอมลงใจ

แต่คนที่มีปัญญานะ เวลาจับสิ่งใดนะก็ฉงนสนเท่ห์เหมือนกัน แต่! แต่ใช้ปัญญาของเราใคร่ครวญว่ามันเป็นจริงตามนั้นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม “กาลามสูตร” อย่าเชื่อๆๆๆ อันนี้สำคัญมากเลย อย่าเชื่อๆ แต่ต้องมีศรัทธา อย่าเชื่อก็ต้องจับเข้าไปพิจารณา ไม่ใช่อย่าเชื่อแล้วปัดทิ้งไปเลย อย่าเชื่อแล้วก็ไม่สนใจอะไร อย่าเชื่อแล้วฉันก็จะเป็นโจร อย่าเชื่อแล้วฉันก็จะเป็นเลือดชั่ว!

ไม่เชื่อ.. ไม่เชื่อแต่ต้องพิจารณาสิว่าเราจะเป็นเลือดดีหรือเลือดชั่ว เวลาเราปฏิบัติของเราขึ้นมาเห็นไหม ถ้าจิตเราจะสงบขึ้นมา กิเลสเป็นเลือดชั่ว ธรรมะเป็นเลือดดี ความดีและความชั่ว เหรียญมีสองด้านในหัวใจของเรา ใครบ้างไม่เคยคิดแต่เรื่องดีและเรื่องชั่ว

เรื่องชั่วเราก็รู้อยู่ แต่ทำไมเราไม่ให้มันคิดล่ะ ปฏิเสธเลยว่าเราจะปิดตู้ เราจะไม่ให้ความคิดชั่วในหัวใจเราออกมาเลย นี่พูดเราพูดได้ เราตั้งใจได้ มีผู้ปฏิบัติเยอะนัก เวลาปฏิบัติพอจิตมันสงบเข้าไปแล้วเห็นไหม คอยติเตียนครูบาอาจารย์ ติเตียนตลอดโดยธรรมชาติเลย แล้วจะแก้อย่างไร

“ผมก็เคารพนะ ผมก็รักนะ ทำไมพอจิตมันสงบแล้ว พอมันเริ่มจะเข้ามา ทำไมมันมีแรงต้าน..” นี่ไงเวรกรรมมันเกิดแล้วเห็นไหม เราบอกว่าเราเคารพ เราก็รู้อยู่ เพราะเราอยากจะพ้นจากทุกข์ เราอยากจะมีผู้ชี้นำ เราจะหาครูบาอาจารย์ที่เราลงใจ ครูบาอาจารย์องค์ไหนที่จะเป็นผู้ชี้ที่ลงใจที่จะสอนเราได้ เราอยากจะหาครูบาอาจารย์องค์นั้น

นี่มันก็เป็นความปรารถนาความแสวงหาของเราใช่ไหม แต่เวลาเข้าไปแล้ว เวลาจิตสงบแล้วทำไมมันต่อต้านล่ะ ดูสิ...ความคิดในปัจจุบัน ความคิดในปัจจุบันคือความคิดในขันธ์ ๕ ความคิดโดยสัญชาตญาณ เราก็อยากหาที่พึ่ง เราอยากหาครูบาอาจารย์ที่ทอดสะพานให้เราเดินสะดวกสบายขึ้นไป

นี่คือแรงปรารถนาในปัจจุบันนี้ แต่พันธุกรรม กรรมที่มันมาในหัวใจ พันธุกรรมของใจ ใจที่มันมีเวรมีกรรมกันมาเห็นไหม เวลาจิตมันสงบขึ้นมาทำไมมันต่อต้านล่ะ มันต่อต้าน เราในปัจจุบันเราก็เป็นลูกศิษย์เป็นครูบาอาจารย์กัน แต่ทำไมหัวใจมันต่อต้านขนาดนั้น

นี่ไง พูดถึงความเป็นไปในเรื่องของเวรและกรรม ในเรื่องของจริตนิสัยมันก็มีของมันอยู่แล้ว ฉะนั้นเวลาเราปฏิบัติขึ้นมา เรื่องของใครเป็นเรื่องของเขา “คนทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เป็นเรื่องของเขา

แต่จิตใจของเราล่ะ เราปัจจุบันนี้เห็นไหม ดูสิ...เราเป็นมนุษย์เกิดในพระพุทธศาสนา ได้บวชเป็นพระด้วย แล้วถ้าไม่บวชเป็นพระ เราก็เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เราจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ เราจะปฏิบัติเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหรอ เราจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพุทธะของเราไง พุทธะคือในหัวใจของเรานี่แหละ

ดูสิ...เวลาเราอยู่ในบ้าน พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของเรา เกิดมาชีวิตนี้ ถ้าไม่มีพ่อแม่เกิด เราไม่มานั่งกันอยู่อย่างนี้หรอก แต่เวลานั่งอยู่นี้นี่พ่อแม่เกิดมาเห็นไหม พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของเรา เราจะดูแลพ่อแม่ของเราอย่างไร ในบ้านเรา เราเคยดูแลพ่อแม่เราไหม

พ่อแม่เราจะเป็นอย่างไร พ่อแม่เราก็มีสิทธิให้ชีวิตเรามา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเหมือนกัน เราจะดูแลใจเราไหม เวลาเกิดจากพ่อจากแม่ จากพ่อจากแม่นี่เป็นการวัดผลของวัฏสงสาร แต่เวลาจริงๆ แล้วจิตมันเกิด! จิตเห็นไหม เพราะมันมีอวิชชามันถึงจุติลงในไปไข่ไง เรานี่กรรมมันพาเราเกิดเอง!

ถ้ากรรมมันพาเราเกิดเอง แต่ถ้าเราไม่มีพ่อแม่เราจะเกิดมาได้อย่างไร เพราะผลของวัฏฏะเห็นไหม ผลของวัฏฏะมันต้องเป็นไปตามเวรตามกรรม พอมาเกิดนี่สิ เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ในพระพุทธศาสนา

“ความกตัญญูกตเวทีมันเป็นการแสดงออกของคนดี”

เราก็มีการแสดงความกตัญญูกตเวทีกับพ่อ กับแม่ กับญาติกับพี่น้องของเรา อันนี้เป็นเครื่องแสดงออก แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นมานี่ แล้วหัวใจเราล่ะ เราจะปฏิบัติอย่างไร เราจะมีสติปัญญา เราจะดูแลมันอย่างไร

ถ้าเราดูแลเรามีสติเห็นไหม มีสตินะ คำบริกรรมเราก็จะเกิดขึ้นมา คำบริกรรมเพราะอะไร เพราะมันเห็นคุณประโยชน์ไง ถ้าเราเห็นคุณประโยชน์ รู้จักอะไรเป็นประโยชน์เป็นโทษเราจะมีสติปัญญา แล้วเราจะทำแต่ประโยชน์ให้กับหัวใจของเรา

แต่ถ้ามันทำไม่ได้ เราก็ต้องมีอุบาย กิเลสมันอยู่กับเรา กิเลสมันเกิดก่อนเราเกิดอีก กิเลสมันอยู่กับจิตมาตลอด กิเลสมันหมุนเวียนในวัฏฏะ กิเลสมันอนุสัยมันนอนเนื่องในจิตดวงนั้น จะไปเกิดเป็นเทวดาก็มีกิเลส เป็นพรหมก็มีกิเลส ทุกอย่างก็มีกิเลสถ้าไม่มีกิเลสมันจะมีแรงขับที่ไหนมา

นี่กิเลสมันเกิดก่อนที่เราจะมาเป็นมนุษย์อยู่นี้ แล้วเวลาปฏิบัตินี่เราจะไปชำระล้างมัน ถ้าชำระล้างมันเห็นไหม มันต้องเอาความดีสิ เอาธรรมะไปชำระล้างมัน ธรรมะคืออะไร สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม

ถ้าตั้งสติขึ้นมา ถ้าเราไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็สะเปะสะปะ สติใครสติมัน สติเรา เราก็แต่งมันขึ้นมา สติใครแก่สติใครกล้า.. จะเอาสติมาชั่งกิโลกันว่าใครมีน้ำหนักมากกว่ากัน เพราะไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เป็นไปตามอาจาริยวาท ตามความเชื่อ ตามความเห็นของตัว

แต่เพราะเราเกิดมาในพระพุทธศาสนานะ วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้เทศนาว่าการเอาพระยสสะ เอาชฎิล ๓ พี่น้อง จนเป็นพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์นี่ไง

สิ่งนี้เป็นบรรทัดฐาน สัจจะ-อริยสัจเป็นบรรทัดฐาน เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สัจจะ มรรคญาณ มรรค ๘ มันมีของมันอยู่แล้ว มีเพราะอะไร มีเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่มีมรรคญาณขึ้นมาทำลายหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมรรคญาณในการกระทำ ในอำนาจวาสนาบารมี ในปฏิสนธิจิต

ญาณมันเกิดจากอะไร มรรคญาณๆ มันเกิดมาจากไหน มรรคญาณมันเกิดมาจากตำราเหรอ มันเกิดมาจากทฤษฎีเหรอ มันเกิดจากการสั่งซื้อมา ก๊อบปี้มา ขโมยเขามาเหรอ

! มรรคญาณของทุกๆ คนมันก็เกิดจากจิต!

ถ้าคนไม่มีจิต คนไม่มีสติปัญญาขึ้นมา ถ้าไม่มีความสงบของใจขึ้นมาจะไม่มีสิ่งใดเลย! สิ่งใดที่ศึกษามาเป็นทฤษฎี สิ่งใดที่ฟังมานี่ขโมยเขามา ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการก็เพื่อประพฤติปฏิบัติ เพื่อดัดแปลงตน ไม่ใช่พูดเทศนาว่าการมาเพื่อให้เราหยิบไป จับฉวยไปเอาไปทำโจรกรรม นี่เลือดชั่ว!!

แต่เลือดดีล่ะ เราเลือดดีเรารักษาของเรา เราดูแลใจของเรานะ เราต้องเอาใจของเราให้ได้ก่อน ถ้าเอาใจของเราได้เห็นไหม ถ้าเราทำใจของเราไม่ได้ เราจะเอาอะไรไปสอนเขา เราไปสอนเขานี่เราไปสอนด้วยงูๆ ปลาๆ นะ

เราจะจำมาขนาดไหน เราศึกษามาขนาดไหน เรารู้จริงไม่ได้หรอก สิ่งใดไม่เคยประสบสิ่งนั้นรู้จริงไม่ได้ ถ้าสิ่งใดเคยประสบ เรามีสติขนาดไหน เรามีสมาธิขนาดไหน เรามีปัญญาใคร่ครวญขนาดไหน ปัญญาของเราไม่เคยเกิดเลย ปัญญาที่เกิดขึ้นมานี้ นี่พุทธพจน์ๆ นี่มันจำมาทั้งนั้น ไม่ต้องจำ สัญชาตญาณของคนมีอยู่แล้วเห็นไหม

ทุกข์ไม่ต้องถามใคร ทุกข์ทุกคน บอกให้พูดถึงเรื่องความทุกข์หันหน้าเข้าหากันก็พูดไม่มีวันจบ นี่แล้วมันทุกข์อะไรล่ะ ทุกข์นี่เป็นอาการ อาการของทุกข์ แต่ถ้าเรามีสติปัญญาเห็นไหม เรามีสติปัญญาเราจะยับยั้งแล้ว เริ่มยับยั้งแล้ว

“ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ” นี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เราต้องแก้ไขของเรา เลือดในร่างกายของมนุษย์นี้ มันจะต้องฟอกอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ฟอกเลือดมันจะเสีย มันเป็นธรรมชาติของมัน โดยกิเลสมันเหมือนเลือด มันเข้าข้างมันตลอดเวลา

เวลาเราทำคุณงามความดีของเรานะ เราจะตั้งสติของเรานะ มันจะฟอกของมัน ฟอกตั้งแต่ปุถุชน เป็นกัลยาณปุถุชน เราจะรักษาความรู้สึกความนึกคิดของเราให้อยู่ในหลักในเกณฑ์ ให้มันเป็นธรรมขึ้นมา

ในร่างกายของเรามันจะมีแต่ของเสีย มันต้องมีระบบของร่างกาย ธรรมชาติสร้างมาให้ ให้มาตรวจสอบ ให้มาทำความสะอาดในร่างกายนี้ เพื่อประโยชน์กับชีวิตเรานะ แล้วชีวิตของคนเรามันก็มีเวรมีกรรม

“ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ”

แค่นี้เราก็มีบุญกุศลเป็นมหาศาลแล้ว ดูสิ...ดูคนทุกข์คนยากสิ คนเจ็บไข้ได้ป่วยเห็นไหม ดูสิ...เขาต้องทุกข์ต้องยากนะ เขาจะหาเงินหาทองมามากน้อยขนาดไหนก็แล้วแต่ เวลาเขาต้องพลัดพรากจากนั้นไปนะ เขาต้องอาลัยอาวรณ์ อาลัยอาวรณ์นี้เป็นแค่เงินทองนะ แล้วถ้าแสวงหาเงินมาทางที่ชอบมันก็ยังต้องพลัดพราก

แล้วถ้าแสวงหาเงินมาทางที่ไม่ชอบล่ะ กรรมมันจะให้ผลอีกเห็นไหม เราหามาแล้ว เราต้องพลัดพรากจากสิ่งนั้นไป แล้วพลัดพรากไปแล้วก็ต้องไปรับผลของกรรมอีก นี่มันจะทุกข์ร้อนขนาดไหน สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เรื่องของกิเลสตัณหาทะยานอยาก

สิ่งนี้ต่างหาก ร่างกายของมนุษย์เราก็สร้างสิ่งนี้มาเพื่อความดำรงชีวิตอยู่แล้ว เพื่อให้ร่างกายเราเข้มแข็ง ร่างกายมันสมดุลของมัน ฉะนั้นเวลาจิตของเรา ดูสิ...เวลามันมีความคิด มีความโต้แย้ง มีอะไรต่างๆ แล้วบอกธรรมะๆ

เวลาร่างกายมันเจ็บไข้ได้ป่วย ดูสิ...เลือดเวลาเขาฟอกไตเห็นไหม เขาต้องมีเครื่องฟอกไตต่างๆ เพื่อให้มันเข้าสู่ร่างกายเรา ธรรมะที่ไปศึกษามานะ ว่าเป็นธรรม เป็นธรรม.. มันเป็นจริงเหรอ ? ถ้ามันเป็นความจริงเห็นไหม สติเป็นอย่างไร ไม่ต้องไปเถียงกันเลยว่าสติใครจริง สติใครปลอม สติใครก็สติมัน

สติของเราดูสิ...ครูบาอาจารย์ท่านเป็นมหาสติ มหาปัญญา เป็นสติอัตโนมัติ แล้วเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ เราได้อะไร มันไม่ใช่สติของเราเลย แต่ถ้าเรามีสติของเราขึ้นมาล่ะเห็นไหมมันจะไปฟอกเลือดเราไง มันจะไปฟอกใจเราแล้ว

ไอ้เลือดชั่วนะ เลือดชั่วในสังคม เลือดชั่วในพุทธศาสนามันก็เป็นเรื่องเวรเรื่องกรรม ไอ้กิเลสชั่วในหัวใจเรานี้เราจะเอาอะไรไปฟอกมัน เราจะเอาอะไรเพื่อไปยับยั้งมัน เพื่อจะทำลายมันนะ

ดูสิ...มาร “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา” มารมันครอบคลุมหัวใจของเรา มันก็อยู่หลังความคิด มันก็ใช้ชีวิตเราอาศัยอยู่ในภวาสวะ ในภพ ในหัวใจเรานี้ ข่มขี่ข่มเหงแล้วบังคับบัญชาใช้เราให้หัวปักหัวปำอยู่นี้ แล้วเราก็เชื่อมัน เราก็ทำตามมัน มันจะใช้อย่างไร นี่เดินต้อยๆ เลย แล้วเวลาผลเกิดขึ้นมามันก็เอาแต่น้ำตามาฝาก

เอาน้ำตามาเป็นความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยาก แล้วเราก็บอกว่าจะมาปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์ พ้นจากทุกข์... แล้วก็ให้ทุกข์มันขี่คออยู่อย่างนี้ แล้วเวลาจะทำขึ้นมา... “ไม่ได้ มันลำบาก” จะเอากันแต่ง่ายๆ

นี่ฟังธรรมเห็นไหม ฟังธรรมเพื่อเตือนเรา สิ่งใดมันของดิบๆ นะ ไม้เวลาเขาจะใช้ทำประโยชน์เห็นไหม เขาจะให้มันแห้ง เขาจะจุดไฟของมันได้

จิตของเราปุถุชนมันดิบๆ สิ่งที่ดิบๆ แล้วเราเอาความดิบๆ นี้ไปศึกษาธรรม แล้วก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม จุดไฟไม่ติดหรอก ถ้าเรามีตบะธรรมเห็นไหม ตากให้แห้ง ไม้นั้นจะเพื่อการหุงหาอาหาร เพื่อดำรงชีวิต สิ่งนี้ก็เหมือนกัน เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรามีสติปัญญาของเราเข้ามา ต้องมีสติยับยั้ง พอยับยั้งขึ้นมาเห็นไหม ฟอกๆๆ

ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ สมาธิมันจะมีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามีสมาธิเป็นความร่มเย็นเป็นสุข สมาธิมีประโยชน์อย่างไร ก็ถากถางกัน นี่ไอ้เลือดชั่ว ไอ้ความประพฤติชั่วในศาสนา “สมถะไม่จำเป็น.. สมถะไม่ต้องไปทำ.. ใช้ปัญญาไปเลย ในการใช้ปัญญามันจะเป็นสติปัฏฐาน ๔” ขี้โม้ทั้งนั้น! สติปัฏฐาน ๔ มันมีแต่ชื่อ มันเอายี่ห้อมาจากพุทธพจน์ เอาตัวมันมีอะไร? ถ้าตัวมันมีมันพูดอย่างนั้นไม่ได้! คนถ้าไม่มีจริงขึ้นมา พอจิตมันสงบขึ้นมาแล้ว มันถึงออกพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม มันถึงเป็นสติปัฏฐาน ๔

มันเป็นสติปัฏฐาน ๔ เพราะมันชำระกิเลส สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม มันเกิดขึ้นมา เพราะการชำระกิเลส แล้วมันไม่ได้ชำระอะไรเลย มันไม่ทำอะไรเลยมันจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ ที่ไหนล่ะ? มันก็เป็นข่าวลือ มันก็เป็นชื่อมาจากพุทธพจน์ แต่ตัวเองนะ หมาขี้เรื้อน!

นี่ไง ถ้ามันไม่เป็นหมาขี้เรื้อนขึ้นมา เราตั้งสติขึ้นมา มันพิสูจน์ได้ว่าถ้าจิตสงบขึ้นมา แล้วเกิดปัญญาขึ้นมามันจะเข้าไปชำแรกในหัวใจ มันจะเป็นจิตใต้สำนึก แล้วไปถอดถอนกิเลส มันเป็นความจริงอย่างนั้น ถ้ามันไม่มีความจริงอย่างนั้น พูดขนาดไหนปากเปียกปากแฉะพูดไปเถอะ!

ผลที่เกิดจากใจของเรามันไม่มี เวลาเราทำนี่เราทำเพื่อใคร? เห็นไหมคุณงามความดีของครูบาอาจารย์ สาธุ คุณงามความดีของครูบาอาจารย์อาจารย์ท่านก็เป็นประโยชน์ของท่าน เพราะท่านบากบั่นของท่านมา ถ้าคุณงามความดีของเรา เราศึกษาขึ้นมา ครูบาอาจารย์ของเราก็เพื่อชี้แนะเรา เพื่อจะให้เรามีช่องทางที่จะให้เราไม่ต้องไปเสียเวลาค้นคว้าของเราเอง

ถ้าเราค้นคว้าของเราเองนะ

๑.เสียเวลายืดเยื้อ

๒.มันออกนอกลู่นอกทางไปเลย

นอกลู่นอกทางเพราะอะไร? ดูเทวทัตสิ เทวทัตอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้ๆ เลย เวลาจิตสงบเป็นฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์เห็นไหมเหาะเหินเดินฟ้า แปลงกายได้ เวลามันมีวิตกขึ้นมา เรื่องลาภสักการะ ออกนอกลู่นอกทางไปเลย

แล้วจิตของเราล่ะ? เห็นไหม สิ่งที่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำๆ คอยชี้แนะคอยปกป้องไว้ ปกป้องไว้เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้มันอันตราย ดูสิ ผู้วิเศษ ผู้วิเศษเวลาทำจิตของเราให้สงบให้มีกำลังของเราขึ้นมานะ เราคิดว่าเรารู้สิ่งที่ชาวบ้านเขาไม่รู้ เราเอาสิ่งนั้นมาทำเพื่อประโยชน์เพื่อวิชาชีพของตัว ดูสิ เข้าเจ้าเข้าทรง การทายโน่นทายนี่ มันเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา ทำไมไม่ทายหัวใจของตัว “เอ็งน่ะ เกิดมากี่ชาติแล้ว! แล้วเกิดมาชาตินี้เอ็งจะตายเปล่าเหรอ” อย่างนี้มันเป็นมิจฉา

ถ้าเป็นสัมมาล่ะ เห็นไหมสัมมานี่สติปัญญามันจะกรอง กรองให้ใจของเราเข้ามาสู่ความสงบ แล้วความสงบมันมีประโยชน์อะไรล่ะ? เราเป็นผู้วิเศษ เรารู้โน่นรู้นี่ คนเขานับหน้าถือตา เวลาทำความสงบเข้ามา ไม่เห็นได้อะไรเลย...

เวลารู้เรื่องผู้วิเศษ รู้เรื่องของชาวบ้านนะ เห็นไหมในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “สัลเลขธรรม” เพื่อมักน้อย เพื่อสันโดษ เพื่อดำรงชีวิต เราดำรงชีวิตขึ้นมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เราไม่ได้ดำรงชีวิตมาด้วยการทายด้วยฌานโลกีย์อย่างนั้น

ฌานโลกีย์อย่างนั้น ฤๅษีชีไพรเขาดำรงชีวิตอย่างนี้มาอยู่แล้ว แล้วเราเกิดมาเป็นชาวพุทธพบพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้แล้ว เรายังจะไพล่ออกไปนะ นี่ไง นี่เลือดชั่วไง

ถ้าเลือดมันดีล่ะ เลือดในอกนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นเซลล์ๆ หนึ่งในธรรมนี้ แล้วไอ้เซลล์ตัวนี้มันจะเป็นเซลล์บวกที่ทำลายศาสนา หรือมันจะเป็นลบ เป็นเลือดที่เป็นประโยชน์กับศาสนา

ถ้าจิตใจมันสงบ จิตในมันมีหลักมีเกณฑ์ แล้วมันออกเป็นฌานโลกีย์ไป แล้วดำรงชีวิตด้วยอย่างนั้นเหรอ? แต่ถ้าเวลาจิตมันสงบขึ้นมา สงบแล้วได้อะไรล่ะ? ไม่มีใครรู้จักเลย สงบแล้วก็อยู่ในป่า สงบแล้วมีอะไร สงบนั่นแหละ มันเป็นความจริง! มันเป็นความจริงถ้าจิตมันสงบเข้ามา แล้วมันรื่นเริงมันอาจหาญ มันอาจหาญนะ เพราะอะไร เพราะเราค้นคว้าสิ่งนี้อยู่ เราค้นคว้าใจของเรากันอยู่นะ

ศาสนานี้จะชำระกิเลสด้วยใจ ใจมีความสำคัญ ความรู้สึกเป็นความสำคัญ แล้วมันอยู่ไหนล่ะ? มีแต่เงา! ความคิด ความรับรู้ ความรู้สึกนี้เงาทั้งนั้น อาการของใจไม่ใช่ใจทั้งหมดเลย! เพราะโดยสัญชาติโดยธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แล้วเราก็ใช้สิ่งนี้สื่อความหมายกันอยู่ แล้วเราทำด้วยอาการของมัน เราทำด้วยโจรผู้ร้าย เราทำด้วยความมักง่าย มันจะออกสู่นอกลู่นอกทางหมดเลย

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเราขึ้นมาเห็นไหม เราควบคุมแล้ว ถ้าควบคุมแล้วควบคุมให้มันสงบเข้ามา ถ้าสงบเข้ามามันเป็นผลงานของเรานะ เป็นผลงานของเราเพราะเราดำรงชีวิตด้วยพุทธศาสนา เราดำรงชีวิตด้วยศากยบุตรพุทธชิโนรส เราดำรงชีวิตด้วยหัวใจที่เคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย กว่าจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข์ยากลำบากมาขนาดไหน เป็นอสงไขยทำแต่คุณงามความดีมาตลอดเลย เพื่อให้หัวใจนี้มันควรแก่การงาน ให้หัวใจนี้สมกับความเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้ตรัสรู้มาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้ววางธรรมและวินัยไว้ แล้วเรามาบวชในพุทธศาสนาเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นเลือดเม็ดหนึ่งในพุทธศาสนานะ เราจะเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? เราจะเห็นอกเห็นใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อุตส่าห์แสวงหาสิ่งนี้มาวางไว้เป็นประโยชน์กับพวกเราไหม? ถ้าเราเห็นแก่ประโยชน์อย่างนั้น เราเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะประพฤติปฏิบัติของเราเห็นไหม

ถ้ามันสงบขึ้นมานะ เราก็เป็นเลือดที่ดี เป็นเลือดที่ดีเห็นไหม เลือดในอก! แล้วเลือดในอกมันเป็นเลือดที่ดีแล้วมันจะเป็นเลือดที่ดีเพื่อใครล่ะ? พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์นี้เป็นเลือดในอกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ในการประพฤติปฏิบัติของเรา มันเลือดในอกของเรานี่ ในหัวใจเรานี่ ในความทุกข์ความยากของเรานี่ ในสิ่งที่เกิดที่ตายนี่ ผลของวัฏฏะนี่ วนไปวนมาอยู่เนี่ย วันคืนล่วงไปๆ ผลของมันจะเวียนเกิดเวียนตายๆ อยู่อย่างนี้ แล้วมันจะชำระกันอย่างไรล่ะ?

เราเกิดขึ้นมาด้วยอำนาจวาสนา เราเกิดมาด้วยบุญกุศล เราถึงมาพบครูบาอาจารย์ ตั้งแต่หลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์ขึ้นมา ท่านรื้อค้นมาด้วยความลำบากลำบน ด้วนความวิริยะอุตสาหะ เพื่อผลประโยชน์ของท่าน เพราะท่านทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านนิพพานไปแล้ว เหลือแต่พวกเรานี่ เหลือแต่พวกเราที่จะเดินให้ถึง แล้วเดินให้ถึง เดินด้วยอะไร? เดินด้วยตีนเหรอ? ไม่ใช่! เดินด้วยสติ เดินด้วยปัญญา เดินด้วยหัวใจ

เวลาเราเดินจงกรมเห็นไหม เดินจงกรมเพื่อความสงบของใจ นั่งสมาธิก้นแตกก้นพองก็เพื่อความสงบของใจ เราเดินด้วยหัวใจ แต่กิริยาของมนุษย์มันก็มีอิริยาบถ ๔ นี่แหละ อิริยาบถ ๔ เห็นไหม บุญกิริยาวัตถุ เวลานั่งด้วยความสงบเสงี่ยมเห็นไหม เราอุทิศความสะดวกสบายของเราเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือพุทธะในหัวใจของเรานี่แหละ เรารักษาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหัวใจของเราเพื่อประโยชน์กับเราเห็นไหม เดินด้วยใจ มีสติปัญญาขึ้นมา กลั่นกรองเข้ามา พอกลั่นกรองเข้ามา มันมีความสงบร่มเย็นนะ นี่ไงเขาบอกว่าความสงบมันมีประโยชน์อะไรล่ะ?

แต่ถ้าเรารู้เรื่องร้อยแปดพันเก้า มันจะเป็นประโยชน์กับเรา หูทิพย์ตาทิพย์มันจะเป็นประโยชน์ ถ้ามันเป็นความจริงนะ จิตที่มีอำนาจวาสนาขึ้นมา เวลามันสิ้นสุดแห่งทุกข์มันมีของมันเอง! มันเป็นของมันโดยธรรมชาติของมัน ถ้าลองได้ทำอำนาจวาสนาของใคร อำนาจอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น

เพชรคือเพชร เหล็กคือเหล็ก หินคือหิน จิตใจที่มันทำ มันแร่ธาตุสิ่งใดชนิดใด มันก็ต้องออกเป็นแร่ธาตุตามนั้น แต่ถ้าเป็นเพชรเห็นไหม เป็นเพชรแต่ไม่รู้จักใช้ โจรมันก็ปล้นหมดนะ

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันรู้ดีรู้ชั่ว รู้เรื่องของชาวบ้าน มันก็บอกว่ามันรู้ แล้วมันได้อะไรขึ้นมาล่ะ? มันได้อะไรขึ้นมา? แต่ถ้ามันประพฤติปฏิบัติขึ้นมาชำระกิเลสแล้ว สิ่งที่รู้ขึ้นมานี้เป็นประโยชน์เพราะอะไร? เพราะมันไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง มันเป็นประโยชน์กับจิตใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประโยชน์กับครูบาอาจารย์เรา มันเครื่องมือช่วยคอยขนาบจิตที่มันดื้อ นี่เป็นเครื่องมือของครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างของท่านมาไง

ฉะนั้นสิ่งนั้น ถ้าเราไปตื่นเต้นกับมัน แต่เราไม่เห็นคุณค่าของความสงบของใจ ความสงบของใจมันก็เหมือนการศึกษานะ ถ้ามันมีการศึกษาขึ้นมาแล้ว ศึกษามาเพื่อความรู้ของเรา แต่อาชีพที่เราจะประกอบอาชีพนั้นมันเกิดจากเชาว์ปัญญา นั่นอีกชั้นหนึ่งนะ เพราะหลักการศึกษา ศึกษามาเพื่อความรู้ แต่เวลาไปประกอบอาชีพมันต้องมีเชาว์ปัญญาเป็นประสบการณ์ชีวิตอีกอันหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่จิตมันสงบเข้ามาๆ มันเป็นความรู้ของเรา แต่เราจะบริหารอย่างไร บริหารในหัวใจเรา มันมีคุณค่ามาก! จิตสงบมีคุณค่ามากเพราะมันเป็นประโยชน์กับผู้ผู้นั้น แต่เพราะมันไม่มีจิตสงบเลย จิตไม่สงบมันเลยแล้วคิดแต่ของออกไป เวลาสงบขึ้นมา ก็สงบขึ้นมาเพื่อเป็นผู้วิเศษเพราะอะไร เพราะจิตใจคนมันหยาบ จิตใจของคนมันมีวุฒิภาวะของใจมันอ่อนแอ พออ่อนแอสิ่งใดที่มันรับรู้ได้ด้วยความอ่อนแอด้วยตัณหาทะยานอยาก มันก็ว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ไง

แต่สิ่งใดที่เป็นคุณประโยชน์ มันกลับไม่รู้เรื่อง สิ่งที่เป็นประโยชน์มันกลับเห็นเป็นโทษเห็นไหม นี่เลือดในหัวใจของเรา ความรู้สึกความนึกคิดในหัวใจของเรามันมีกิเลสตัณหาทะยานอยากมันครอบงำของมันอยู่ เราถึงต้องมีครูบาอาจารย์คอยขนาบคอยดูแลของเรา แล้วเราตั้งสติของเรานะ พุทโธๆ ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา พอมันสงบขึ้นมา เรารู้ว่าสงบ พอสงบแล้วมันมีความร่มเย็น คนร่มเย็นเป็นสุขออกทำงาน กับคนทุกข์ยากคนเร่าร้อนออกทำงานมันแตกต่างกัน

เรานะเป็นหนี้เป็นสินล้นพ้นตัวเลย จะทำอะไรนะ หมุนเงินไม่ทัน โอ้โห.. ปวดหัวตายเลย แต่คนที่เขาร่มเย็นเป็นสุข เงินเขาเป็นเงินเย็น เขาจะจับจ่ายใช้สอย เขาจะทำอะไรของเขา เป็นประโยชน์กับเขาทั้งนั้นเลย

จิตใจที่เป็นสมาธิเห็นไหม ร่มเย็นเป็นสุข แล้วออกทำงาน แต่จิตใจของเรานี่โลกล้วนๆ เลย จะเอานิพพานพรุ่งนี้! จะเอามรรคผลเดี๋ยวนี้! โอ้โห มันเร่ามันร้อน มันทำมันจะเอาให้ได้ แล้วได้ไหม? ไม่ได้…

แต่ถ้ามันจะได้ขึ้นมา เราตั้งสติของเราเห็นไหม สติปัญญาขึ้นมา พอมันจะมีความสงบของใจขึ้นมา จิตใจร่มเย็นเป็นสุข จิตใจมีทุน สมาธิคือทุนนะ สมาธิคือข้อเท็จจริงของใจ อาการของใจไม่ใช่ข้อเท็จจริงของใจ อาการของใจ ความรับรู้ความรู้สึกเป็นอาการของใจทั้งหมด ไม่ใช่ตัวใจ

แต่ถ้าเป็นตัวใจขึ้นมา พอสงบของใจขึ้นมา อื้อ! สมาธิพูดไม่ได้พูดไม่ออก ฉะนั้นเวลาคนที่ได้สมาธิจริง เขาพูดออกมาด้วยข้อเท็จจริงของเขาเป็นความจริง ไอ้เรานะสัญญาทั้งนั้น ว่างๆ .. ว่างๆ.. แหม มีความสุข ถ้ามันไม่สุขก็กลัวจะไม่ใช่ของจริงไง ดูสิ ความชั่วมันปลิ้นปล้อน มันกะล่อนหลอกตัวเอง โอ้โห มีความสุขๆ สุขจริงเหรอ? สุขเป็นอย่างไร?

“ความสุขใดเท่ากับความสงบไม่มี” มันเป็นอย่างไร? ถ้ามันสงบจริงๆ มันสงบของมัน มันมีความสุขของมัน มันอิ่มเต็มของมัน แล้วออกค้นหาออกใช้ปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาจากสัมมาสมาธิ ลึกลับซับซ้อนกว่าปัญญาที่เราคิดมาก คนที่ทำความสงบของใจ พอใจสงบแล้วออกวิปัสสนา เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา อื้อหือ.. มันซึ้ง.. มันมหัศจรรย์.. มันต้องมหัศจรรย์สิ ถ้าไม่มหัศจรรย์มันจะชำระกิเลสได้อย่างไร เพราะกิเลส มันลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่ามหัศจรรย์อีก!

มันพลิกแพลงปลิ้นปล้อนในหัวใจของเรานะ พลิกแพลงปลิ้นปล้อนแล้วบังเงา บอกว่า ความคิดความรู้สึกของเรานะ พุทธพจน์ๆ เป็นธรรมๆ มันเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเหยียบหัวมัน มาหลอกมัน มาทำลายมัน ดูสิ ดูความชั่วของมัน! ดูความชั่วของกิเลสในหัวใจของเรา!

แล้วบอกว่าพุทธพจน์นะ ทั้งๆ ที่มันจะเป็นคุณงามความดีนะ แต่เพราะเราใจเร็วด่วนได้ เราทำของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเราด้วยคิดว่ามันเป็นมรรคเป็นผล แต่ถ้าเราทำตามข้อเท็จจริงโดยความเป็นธรรมเห็นไหม ตั้งสติขึ้นมา มันจะเป็นสมาธิไม่เป็นสมาธิ ช่างหัวมัน! เพราะธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ

ถ้าเราได้สร้างเหตุขึ้นมา เรามีการกระทำของเราแล้วนะ ถ้าธรรมมันขึ้นมา มันเป็นอำนาจวาสนาของเรา เป็นปัญญาของเรา มันก็เป็นความจริงของเรา มันก็สงบจริงๆ ของเรา แล้วมันใช้ปัญญา ปัญญาจริงๆ ของเรา แล้วพอจิตมันสงบขึ้นมาเป็นสัมมาสมาธิ แล้วมันออกใช้ปัญญาขึ้นมาแล้วนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือในพระไตรปิฎก เวลาปัญญาของเราเกิดรอบหนึ่ง มันปล่อยวางรอบหนึ่ง นี่มันเป็นธรรมของเรานะ

ธรรมของจิตดวงนี้ ธรรมของจิตดวงที่เข้าไปวิปัสสนาโดยการใช้ปัญญา มันก็จะมาชำระกิเลส ถอดถอนกิเลสของใจดวงนั้น ถ้ามันถอดถอนกิเลสของใจดวงนี้ มันก็เป็นประโยชน์กับใจดวงนี้เห็นไหม นี่ไง มันทำให้การเกิดการตายมันผ่อนคลายลง มันเกิดตทังคปหาน การเกิดตทังคปหาน มันวิปัสสนา ปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา นี่ไง มันเป็นความลึกลับนะ

แล้วความลึกลับอย่างนี้ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ในสังคม ในครอบครัวกรรมฐาน ในครอบครัวของครูบาอาจารย์เรา เวลา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาครูบาอาจารย์ของเราออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ออกมาจากป่าจากเขามา มาเฝ้าหลวงปู่มั่น มากราบหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นจะคุยธรรมะกันเห็นไหม แล้วเวลาหมู่คณะถ้ามีใครออกมาจากป่า ออกมาจากการประพฤติปฏิบัติเหมือนออกสงครามกลับมา

“พวกนี้ไปสงครามกลับมา ฆ่ากิเลสมากี่ศพ ฆ่ากิเลสมากี่ศพ” จะถามปัญหากัน นี่ไง เวลา ธมฺมสากจฺฉา มันมีความรื่นเริง มันตรวจสอบกัน มันเป็นความจริงของเราใจหัวใจขึ้นมาเห็นไหม

เลือดดีๆ เขาทำกันแต่เรื่องดีๆ แต่เลือดมันชั่ว มันทำแต่เรื่องชั่วๆ ถ้าเลือดมันดีมันทำแต่เรื่องดีๆ เห็นไหม สิ่งนี้มันส่งเสริมกัน มันให้กำลังใจกัน ให้กำลังใจกันสิ่งนี้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วเวลาเราปฏิบัติขึ้นไปนะ พอจิตของเราเวลามันลง แล้วมันเกิดปัญญา มันลึกลับมาก ลึกลับซับซ้อน

นี่คือ ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากจิตก้าวเดิน ไม่ใช่ปัญญาสมอง ไม่ใช่ปัญญาการศึกษา การศึกษาจะศึกษามากน้อยขนาดไหน การศึกษานี้ สมบัตินี้ไว้กับโลก เห็นไหม โลกเขาบอกว่า ปัญญานี้ไม่ต้องใส่บ่าแบกหาม ทุกคนมีปัญญา ทุกคนศึกษาแล้วมันจะมีประโยชน์ ใช่!

มันเป็นประโยชน์ แต่มันเป็นประโยชน์กับโลก มันเป็นประโยชน์กับการฝึกการควบคุมใจของเรา แต่มันไม่เป็นประโยชน์กับการถอดถอนกิเลส มันถอดถอนกิเลสไม่ได้ มันอยู่กันคนละมิติ มันเป็นปัญญาสมอง

แต่ถ้าเวลาภาวนาจนจิตสงบ เห็นไหม จิตสงบได้เพราะเรากรองความเห็นผิด กรองความชั่ว กรองกิเลสตัณหาทะยานอยาก ให้เลือดนี้มีคุณภาพ เลือดนี้เป็นเลือดปกติ เลือดนี้มันจะหมุนเวียนไปในร่างกาย สิ่งใด ช่วงไหน มันเป็นโรคภัยไข้เจ็บ มันก็จะไปเสริม ไปทำให้เป็นปกติ

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันสงบแล้วมันใช้ปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่จิตมันสงบ มันภาวนาขึ้นมา มันตทังคปหาน ตทังคปหานหมายถึงว่า ทิฐิ คนเรานะ สัมมาทิฐิ คือการเห็นถูกต้องและภาวนา สัมมาทิฐิ คือความเห็นถูกต้องนะ แต่จิตใต้สำนึกมันมีทิฐิของมัน สักกายทิฐิ ทิฐิว่าสรรพสิ่งนี้เป็นเรา

สรรพสิ่งนี้เป็นเรา โดยจิตใต้สำนึก ไม่ใช่ปาก! ไม่ใช่ความคิด! เราศึกษาธรรม พุทธพจน์บอก ไม่ใช่เราๆ ทุกคนก็เห็น จะลัทธิศาสนาไหน เขาก็รู้กันอยู่ว่าเกิดมาต้องตาย ลัทธิศาสนาไหนเขาก็รู้ แล้วเขาใคร่ครวญของเขาเหมือนกัน แต่เขาไม่มีสัมมาสมาธิ เขาไม่มีมรรคญาณ เขาไม่สามารถเข้าไปถึงจุดเป้าหมายที่จิตใต้สำนึกที่ข้อมูลทิฐิอันนี้มันฝังอยู่

แต่พอจิตเราสงบขึ้นมาถึงสัมมาสมาธิ ถึงตัว สัมมาสมาธิเกิดที่ไหน? เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดเห็นไหม “อวิชชาเกิดจากอะไรๆ” “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา..” อวิชชาเกิดจากฐีติจิต อวิชชามันตั้งอยู่บนอะไร? สมาธิมันตั้งอยู่บนอะไร? สมาธิมันเกิดที่ไหน? สมาธิมันเกิดในพุทธพจน์เหรอ? พุทธพจน์มันเป็นชื่อนะ สมาธิมันเกิดที่จิตเรานะ ถ้าจิตเรามันมีสมาธิขึ้นมา มันเกิดปัญญาขึ้นมา มันถอดถอนที่ไหน? มันลงไปที่ไหน? มรรคญาณๆ ธรรมจักรๆ มันอยู่ที่ไหน?

มันหมุนเข้ามา พอหมุนเข้ามาถึงหัวใจ เวลามันปล่อยวาง คือตทังคปหานมันปล่อยวางๆ โอ้โห ถ้ามันไม่ลึกลับซับซ้อนนะ คนผู้ประพฤติปฏิบัตนะถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ มันบอกว่ามันเป็นพระอรหันต์เลยแล้ว ปล่อยวางทีหนึ่งก็เป็นโสดาบัน ปล่อยวางที่ ๒ มันก็เป็นสกิทาคา ปล่อยวางที่ ๓ มันก็เป็นอนาคา ปล่อยวางที่ ๔ มันเป็นพระอรหันต์แล้ว

เพราะอะไร เพราะพิจารณากายปล่อยกาย พิจารณากายปล่อยกาย ตทังคปหานคือชั่วคราวๆๆ แล้วมันปล่อยอะไรล่ะ? ปล่อยบ้า! มันไม่ได้ปล่อยอะไรเลย เพราะมันไม่เป็นความจริงเห็นไหม นี่ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ของครูบาอาจารย์เราท่านตรวจสอบกัน ท่านตรวจสอบกันอย่างนี้ไง

แต่ถ้าตทังคปหานนะ มันไม่ครบวงจรของมัน มันไม่มีเหตุมีผลของมัน มันถอนสักกายทิฐิอันนั้นไม่ได้ แต่ถ้ามันจะถอนสักกายทิฐิอันนั้นเห็นไหม พอมันปล่อยวางขนาดไหน ปล่อยวางคือการขนาบเรื่องกิเลสตัณหาทะยานอยาก กิเลสคือยางเหนียว ยางเหนียวที่มันพาเวียนตายเวียนเกิด มันแก่นของกิเลส

กิเลสนี้เป็นแก่นนะ ดูสิ เรามองในทางโลกเห็นไหม สรรพสิ่งในโลกนี้ ทุกอย่าง วัตถุ อะไรที่มันเข้มแข็งเราว่าสิ่งนั้นคงที่ สิ่งนั้นเข้มแข็งมาก แต่สิ่งที่เป็นนามธรรมความรู้สึกล่ะ ดูสิ มันอ้อยอิ่งอ้อยสร้อยในใจเรา มันยิ่งกว่าอีก! สิ่งที่คมแข็งอย่างภูเขา ระเบิดทิ้งเลย แต่ความรู้สึกล่ะ? อ้อยสร้อยนั่นน่ะ เบื่อๆ แบบคนกินเหล้า เบื่อแบบคนเมา พอพิจารณาไปแล้ว เฮ้อ.. เลิกแล้วไม่เอาอีกแล้ว

เดี๋ยวมาอีกแล้ว! แล้วเราจะทำอย่างไร จะเอามันให้สิ้นให้ได้ ให้มันถอดถอนให้ได้ เห็นไหม พิจารณาไป พิจารณาไปซ้ำๆนะ ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากท่อนไม้ ขอนไม้กลิ้งไปกลิ้งมาแล้วบอกเกิดปัญญานะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ปัญญาเกิดจากภาวนา ภาวนามยปัญญาเกิดจากจิตเห็นไหม

เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก นั่งสมาธิจนก้นพอง อันนั้นคือกิริยา อันนี้คือร่างกาย แต่หัวใจที่มันนั่งอยู่นะ หัวใจที่มันอยู่ในร่างกายเรานี้ สิ่งที่มันหมุนไป มันพิจารณาไป มันก็ปล่อยวางไป ปล่อยวางไป ลึกลับมหัศจรรย์

กองความชั่วในใจนะ เลือดในหัวอกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านภูมิใจของท่าน แล้วมันเป็นผลเพราะมันเป็นประวัติศาสตร์มาแล้ว ประวัติที่ว่า ได้เทศนาว่าการ “เอหิภิกขุ” ได้บวชเอง ได้สอนเอง ได้วางธรรมและวินัยไว้จน ๕,๐๐๐ ปี

“กึ่งพุทธกาล ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง”

ในปัจจุบันนี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเพราะเรามีครูบาอาจารย์ เจริญขึ้นมา วัตถุไม่มีความสำคัญ! ความเจริญเจริญในหัวใจ หัวใจที่จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ถ้าไม่มีใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง นั่นคือวิทยาศาสตร์ คือโลกหมด

สิ่งที่โลกศึกษากันด้วยโลก แล้วเอาคอมพิวเตอร์เข้าไปจับกัน มันจะอยู่ในคอมพิวเตอร์นะ แล้วกดขึ้นมาก็ต้องเหมือนกัน แล้วมันก็เป็นผลของคอมพิวเตอร์ ไอ้คนกด กดแล้วก็ยังเป็นทุกข์อยู่นั่น

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจขึ้นมา ใจมันสงบขนาดไหน เราพิจารณาของเราเข้ามามันจะปลดความทุกข์ในใจของเราได้ ในใจเรามีความทุกข์ยากมาก แต่เพราะเราจนตรอก เราไม่มีความสามารถ ทุกคนมีแรงปรารถนา เพราะเราเป็นชาวพุทธด้วยกัน เราก็ศึกษาตำรามาด้วยกันทั้งนั้น

แล้วเราก็มีอำนาจวาสนา ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาเราจะไม่มีใจฝักใฝ่ทางนี้นะ ฝักใฝ่เห็นไหม การฝักใฝ่ของเรา ดูสิ...สวดมนต์สวดพรทุกวัน ถ้าไม่ได้สวดก็เหมือนกับขาดสิ่งใดไปอย่างหนึ่ง

เราภาวนาทุกวันๆ สิ ถ้าไม่ภาวนานะเหมือนกับขาดสิ่งใดไปอย่างหนึ่ง แล้วถ้าภาวนาจิตมันสงบแล้วนะ จิตมันสงบสงบขนาดไหน เราต้องฝึกมัน สงบแล้วถ้าเราปล่อยไว้นะ ความสงบเป็นอนิจจัง มันก็ต้องแปรสภาพเป็นธรรมดา

ทีนี้ความสงบนี้มันเกิดจากอะไร? ความสงบนี้เกิดจากสติปัญญา เกิดจากความเพียรของเรา ถ้าเกิดจากความเพียรของเรา เราก็ดูเอาความเพียรของเราเป็นตัวตั้ง แล้วสติปัญญาเราขนาดไหน เราแสวงหาของเรา เราทำของเรา พอมันสงบขึ้นมาแล้ว ออกฝึกหัดใช้ปัญญา

ถ้าไม่มีความสงบ การใช้ปัญญานั้นเป็นโลกียปัญญา เป็นปัญญาของกิเลสทั้งหมด แต่เพราะมีความสงบของใจขึ้นมา เพราะมีความสงบของใจ เพราะมันเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญานี้มันจะลงสู่จิต เพราะอะไร เพราะความสงบนั้นสมาธิเกิดจากจิต ถ้าลงสู่จิตขึ้นมา เพราะกิเลสมันอยู่ที่จิตเห็นไหม เวลามันวิปัสสนา มันใช้ปัญญาเข้าไป มันจะถอดถอนของมัน ถอดถอนมันตทังคปหาน มันปล่อยแล้วปล่อยเล่า ขยันหมั่นเพียร ต้องมีขยันหมั่นเพียร ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียร ถ้าเป็นเลือดชั่ว เป็นเรื่องกิเลสมันแอบอ้าง มันก็บอกมันเป็นพระอรหันต์ จนเป็นพระอรหันต์ ๔-๕ รอบเลย เพราะมันพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราจะมีสติปัญญามันเป็นปัจจุบัน มันไม่ได้คิดคาดการณ์คาดหมายว่าเราจะเป็นอะไร มันจะพิจารณามากี่ร้อยหนกี่พันหนก็แล้วแต่ เราพิจารณาซ้ำไปๆ ถ้ามันไม่มีสิ่งใดบอกเหตุ ไม่มีสิ่งใดบอกเหตุกับใจเรา ว่าสิ้นกระบวนการของมัน ขณะจิตที่มันเปลี่ยนแปลง ขณะจิต! จิตขณะที่มันเปลี่ยนเห็นไหม

ดูสิ...ของดิบเป็นของสุกมันยังเปลี่ยนแปลงของมันได้ เราวัดค่าได้นะว่าสิ่งใดมันเปลี่ยนแปลงอย่างไร แล้วจิตใจของเรามันก็ซ้ำๆๆ อยู่อย่างนี้ มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสิ่งใดเลย แต่พอพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ถึงที่สุดเวลาขณะจิตมันพลิก พรึบ! นี่ไง แล้วมันพลิกไปแล้วมันเป็นอะไรล่ะ? มันเป็นอะไร?

เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม “เวลากิเลสขาดดั่งแขนขาด” คนเราตัดแขนทิ้งจะรู้ไหมว่าเราตัดแขนเราทิ้ง มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แต่เวลาปฏิบัติไปแล้ว เวลาตทังคปหานมันปล่อยวางนะ โอ้โห...นี่ปล่อยวางหนหนึ่งก็ว่าเป็นขั้นนั้นๆ ขั้นบ้าขั้นบอไป

นี่ไงเลือดชั่วมันทำลายทั้งหมด แต่ขณะที่ว่าปฏิบัตินี้เลือดมันเสีย ถ้ามันจะว่ามันชั่วมันก็ปฏิบัติมา แต่อันนี้มันก็อยู่ที่วาสนา ถ้าวาสนาของเราเห็นไหม ดูสิ...คนเขามีวาสนานะ เขาจะมีจุดยืนของเขา จะไม่เชื่อสิ่งใดได้ง่ายๆ มันต้องพิสูจน์กัน

เวลาจิตใจเราปล่อยวางแล้ว เราออกมาใช้อารมณ์ปกติ เราพิสูจน์ได้เลย พิสูจน์ว่าจิตใจเรามันหวั่นไหวแค่ไหน จิตใจเรากระทบสิ่งใดแล้วมันมีผลตอบสนองมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีผลตอบสนองหรือมีความหวั่นไหว อย่างนี้ไม่ใช่! อย่างนี้ไม่ใช่มันไม่เข้าองค์ประกอบ

ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่เราก็ต้องเร่งมุมานะภาวนาต่อเนื่องเข้าไป ถ้ามันต่อเนื่องเข้าไป สิ่งที่เราทำได้ขนาดนี้ ผลของมันยังไม่เป็นความจริง แล้วเราจะเอาความจริงเราทำขนาดไหน เราก็ต้องมุมานะทำมากขึ้นมากขึ้น ทีนี้พอเราบอกทำมากขึ้น เราบอกว่าอย่างนี้มันลงทุนลงแรงเกินไป

เราลงทุนลงแรงขนาดนี้มันยังไม่ได้ผล คำว่าได้ผลมันเป็นกิริยา มันเป็นการภาวนามาเพื่อผลที่ดีขึ้น แต่ผลของเรา เราต้องการให้ขณะจิตมันถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วถึงที่สุดนี่เป็นขั้นเป็นตอน อย่างเป็นโสดาบันก็ให้มันเป็นโสดาบันจริงๆ ขึ้นมา

ถ้าเป็นโสดาบันจริงๆ ขึ้นมาแล้วนะ ความเป็นโสดาบันมันเป็นฐานรองรับ ถ้าจิตเสื่อมมันก็เสื่อมลงมาจากสกิทาคาลงมาเป็นแค่โสดาบัน ไม่เสื่อมเป็นปุถุชน แต่ถ้าจิตเรายังไม่เกาะกระแสไม่เท่าถึงโสดาบัน มันเจริญแล้วเสื่อมเป็นปุถุชน

แล้วเป็นปุถุชนนะ ดูสิ...เวลาพระเห็นไหม เวลาบวชขึ้นมานี่เป็นพระที่แสนดีเลย เวลาสึกจากพระไป สำมะเลเทเมายิ่งกว่าคนปกติเลย ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ? นี่ก็เหมือนกันจิตของเราเวลาปฏิบัติขึ้นไป เวลามันดี ดีเหลือล้นเลย เวลามันเสื่อมมาทำไมมันท้อถอย มันทดท้อไปขนาดนั้นล่ะ นี่ไง มันแหยงของมัน มันทำของมันเห็นไหม

จิตมันจะเสื่อมขนาดไหน เราจะทำของเราเห็นไหม ถ้าเราพิจารณาของเราถึงขณะจิตนั้นเปลี่ยนแล้ว มันไม่ตกมา มันมีสถานะของโสดาบันรองรับไว้เห็นไหม กุปธรรม อกุปธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมเป็นกุปปธรรม

กุปธรรม ดูสิ...พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก โลกนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นี่กุปธรรม ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันเป็นกุปธรรม ไม่เช่นนั้นมันแปรสภาพ แต่อกุปธรรมล่ะ! อกุปธรรมล่ะ! ธรรมที่ไม่แปรสภาพ ธรรมที่เป็นจริงๆ มันอยู่ไหน ธรรมจริงๆ มันอยู่ที่ไหน? อยู่ในตำราเหรอ? อยู่ในพุทธพจน์เหรอ? มันอยู่ที่ผู้ปฏิบัติไง

จิตที่มันเป็นขึ้นมาแล้วมันก็คือเป็น ถ้าจิตที่มันไม่เป็นมันก็วัวพันหลักนั่นน่ะ วนอยู่นั่น วนอยู่นั่นออกไหนไม่ถูกเลย แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะมันไม่วนอยู่นั่นนะ มันวนจะออก วนเหมือนกัน วนเหมือนกันเพราะอะไร? เพราะมันพันมาที่ใจนี่แหละ แก่นมันอยู่ที่ใจนี่แหละ มันวนมา มันวิปัสสนาญาณเข้ามา

พิจารณากาย จิตก็เป็นผู้พิจารณา พิจารณาเวทนา ก็จิตเป็นผู้พิจารณา พิจารณาจิต ก็จิตเป็นผู้พิจารณา พิจารณาธรรม ก็จิตเป็นผู้พิจารณา จิตเป็นผู้พิจารณาต้นขั้วมันอยู่ที่จิต ผลตอบสนองแล้วมันก็สะเทือนหัวใจทั้งนั้น

ถ้าจิตมันสงบ ถ้าจิตมันสงบพิจารณาสิ่งใดมันก็สะเทือนมาที่หัวใจ พอมันสะเทือนบ่อยครั้งเข้าๆ ถึงที่สุดแล้วมันขาด! นี่ไงอกุปปธรรมไง ธรรมที่ไม่แปรสภาพไง แต่ไม่แปรสภาพในขั้นของโสดาบัน ถ้าไม่แปรสภาพของขั้นสกิทาคา ไม่แปรสภาพของขั้นอนาคา ไม่แปรสภาพเลย! ไม่แปรสภาพอีกเลย! สิ้นไปเลย แล้วสิ้นอย่างไร

นี่ไงเลือดดี ทำคุณงามความดี เห็นไหม ทำความดีแล้วมันมีผลตอบสนอง แล้วมันเป็นความจริงขึ้นมา พอความจริงขึ้นมาเห็นไหม เลือดในอกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้วันมาฆะบูชา เลือดในอกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเลือดที่สะอาด เป็นเลือดของพระอรหันต์ สิ้นกิเลสแล้วทั้งหมด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ลูกศิษย์ลูกหาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ เกิดมาจากไหน? “ดอกบัวเกิดมาจากโคลนตม” เกิดมาจากหัวใจของเราที่ทุกข์ที่ยากนี่แหละ

ดูยสสะสิ “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” เดือดร้อนไหม? ทุกข์ไหม? นี่ก็เกิดมาจากความทุกข์ทั้งนั้นนะ แต่ท่านมีอำนาจวาสนาของท่าน ถ้าที่นี่เดือดร้อน ที่นี่วุ่นวาย ท่านก็แสวงหาที่ไม่วุ่นวายไง ที่ไม่เดือดร้องไง แต่ที่ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อนมันก็เป็นธรรมชาติ มันก็เป็นป่าเขาลำเนาไพร

แต่ถ้ามันไม่เดือดร้อนในหัวใจสิ ถ้าหัวใจมันทุกข์มันยาก “ที่นี่วุ่นวายหนอที่นี่เดือดร้อนหนอ แล้วที่นี่มันสุขหนอ ที่นี่มันพ้นจากทุกข์หนอ” เห็นไหม ถ้ามันแสวงหาสิ่งนี้ได้ มันก็เป็นประโยชน์สิ่งนั้นขึ้นมา

สิ่งนี้ที่กระทำเราก็อยากทำ เราก็ต้องทำให้ได้ เวลาเราคิดถึงสิ่งใด องค์ศาสดาเป็นครูเอกของโลก เราต้องเอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง เอาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นตัวอย่าง

ถ้าเรามีตัวอย่าง เรามีครูบาอาจารย์เห็นไหม มีครูบาอาจารย์คอยเป็นพี่เลี้ยง คอยคุ้มครองดูแล เราทำสิ่งใดขึ้นมามันก็ปลอดโปร่งนะ แต่ถ้าเราทำสิ่งใด โทษนะ ละล้าละลังนะเราก็สงสัย อาจารย์ยิ่งสอนก็ยิ่งสงสัย แล้วก็สงสัยกันไปใหญ่เลย

เราเองเราก็แย่อยู่แล้ว แล้วอาจารย์พูดอะไรมามันก็ไม่ขาดสักอย่างหนึ่ง ไอ้นั่นจะเป็นไอ้นี่ ไอ้นี่จะเป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นจะมีสิ่งนั้น แล้วมันเป็นสิ่งใดล่ะ? แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ ฟันธงเลย ตั้งสติให้ดี สิ่งนี้แก้ไขได้ ถ้าสติดีมันดับหมด ถ้าสมาธิขึ้นมาแล้วมันยิ่งเป็นประโยชน์ขึ้นมาใหญ่เลย แล้วถ้าเกิดปัญญา ภาวนามยปัญญาขึ้นมา

เรานะ ล้วงเข้าไปในสุ่มปลานะ เราหยิบขึ้นมานึกว่าปลา นึกว่าปลาไหลเห็นไหม ขึ้นมามันเป็นงูเห่าเรานี่สลัดทิ้งเลย แต่ถ้าเราล้วงลงไปแล้วเราไม่รู้ว่างูเห่าหรือว่าปลาไหล นี่ไง งูๆ ปลาๆ

ถ้าครูบาอาจารย์ท่านไม่เป็นธรรมนะ ไม่เป็นธรรมเราเองเราก็ละล้าละลังนะ ฉะนั้นเวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม เป็นธรรมนี่รู้ได้ รู้ได้ง่ายๆ คนอยู่ด้วยกัน ศีลเห็นไหม “ศีลจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราอยู่คุ้นเคยกัน” มันเห็นหมดนะ

ธรรม.. ธรรมจะรู้ได้ต่อเมื่ออ้าปากนะ อ้าปากออกมาเมื่อไหร่ นั่นแหละออกมาจากหัวอก ออกมาจากหัวใจ หัวใจรู้เท่าไหร่ก็พูดได้เท่านั้นแหละ แล้วพูดก็ย่ำเหมือนวัวย่ำอยู่กับที่นั่นล่ะ มันไม่ย่ำออกไปจากกิเลสเลย มันไม่ย่ำออกไปจากภวาสวะ ออกจากภพ ออกจากความเป็นจริงเลย

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม พูดคำไหนคำนั้น เราไม่ละล้าละลังนะ เราสงสัย แต่ครูบาอาจารย์ไม่สงสัย เราน่ะสงสัย เห็นไหมสิ่งที่รู้ที่เห็นจริงไหม? จริง แต่ความรู้ความเห็นนั้นไม่จริงเลย

สิ่งที่รู้เห็น... จริง แต่มันไม่จริงเพราะเรามีกิเลสไง สิ่งที่รู้เห็นจริงไหม? เห็นจริงๆไหม? จริง เราก็ยึดของเราว่าจริง แต่ครูบาอาจารย์บอกว่าไม่จริง ถ้าไม่จริง ไม่จริงเพราะอะไร เราก็ต้องตรวจสอบเห็นไหม

พอเราวางสิ่งนี้ เราวางสิ่งที่ไม่จริง แล้วมันลึกเข้าไป ลึกเข้าไป เราจะเข้าไปสู่ความจริง เราจะเข้าไปสู่ความจริงเห็นไหม นี่ครูบาอาจารย์ของเรา สิ่งที่เป็นความจริงมันก็เป็นความจริง สิ่งนี้ไม่เป็นความจริง อย่างใดๆ ก็ไม่เป็นความจริง

ยิ่งถ้าไม่เป็นความจริงนะ เวลาปฏิบัติไปน่าสังเวชนะ บางแห่งเวลาลูกศิษย์ลูกหาปฏิบัติขึ้นมาพอจะมีหลักมีเกณฑ์พาออกทำงานเสียหมดเลย เพราะอะไร? เพราะเดี๋ยวลูกศิษย์มันภาวนาเป็นขึ้นมา มันจะมาถอนหงอกอาจารย์มัน

นี่เพราะอาจารย์พูดพุทธพจน์ไง พอจิตสงบแล้วพิจารณากายเลย พิจารณากายไปเลย ทีนี้พอพิจารณากายขึ้นมาแล้วมันเป็นขึ้นมา พอมันเป็นขึ้นมาไปถามอาจารย์ อาจารย์ตอบไม่ได้ อย่างนั้นเราไปทำงานกันเถอะ มันก็เสื่อมออกไปหมดเพราะมันไปอยู่เรื่องโลกๆ เห็นไหม

นี่เรารู้ได้ไง เรารู้ได้ด้วยประสบการณ์ เรารู้ได้ด้วยการคลุกคลีนั่นนะ แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานะ มันฟันธงหมด มันเด็ดขาด ผิดคือผิด ถูกคือถูก ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรคาอยู่ สิ่งที่คาอยู่ๆ คือเราไม่แน่ใจ

นี่ไงกุปปธรรม อกุปปธรรม ถ้าเป็นกุปปธรรมก็ธรรมดา ธรรมดาเห็นไหม นิพพานเป็นอนัตตา.. สัพเพ ธัมมา อนัตตา.. สรรพสิ่งก็เป็นอนัตตาก็ว่ากันไป แต่ถ้าความจริงมันเป็นไหมล่ะ มันเป็นไหม มันเป็นหรือไม่เป็น ทุกคนก็พูดไม่ได้ ทุกคนก็รู้ไม่ได้ เพราะมันมาจากตำรา

แต่ตำราออกมา ตำราเขามี ตำราเขาบอกระดับของมันเป็นอย่างนี้ ระดับของโลกเป็นอย่างนี้ ไม่มีสิ่งใดคงที่ โลกนี้ไม่มีสิ่งใดคงที่หรอก มันแปรสภาพหมดล่ะ แล้วถ้าเอาวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรคงที่ สิ่งที่คงที่ไม่มี

ดูสิ...ทองคำ ๑๐๐ เปอร์เซ็นไม่มี ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็น ไม่มี แต่โสดาบัน สกิทาคา อนาคา ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ๑๐๐ เปอร์เซ็น! ๑๐๐ เปอร์เซ็น! ถ้า ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็น ตรงจุดนั้นแหละกิเลสออกตรงนั้น กิเลสออกตรงนั้นเลย แต่ถ้ามันถึงที่สุดเห็นไหมมันต้อง ๑๐๐ เปอร์เซ็น

แล้ว ๑๐๐ เปอร์เซ็นนี้ หาที่ไหน? ถึงบอกมันมีได้เฉพาะความสะอาดบริสุทธิ์ของใจไง ใจนี้สะอาดบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ต้อง ๑๐๐ เปอร์เซ็น จะ ๑,๐๐๐,๐๐๐ เปอร์เซ็น ๑๐๐,๐๐ เปอร์เซ็นไปเลย สิ่งนั้นเป็นความจริง

แล้วความจริงถ้ามันมีจริง มันต้องเปิดเผยได้ ถ้าเป็นจริงมันต้องเปิดเผยได้ตรวจสอบได้ การเปิดเผยการตรวจสอบนี้ มันเป็นคุณสมบัติเห็นไหม เป็นคุณสมบัติของครอบครัวกรรมฐาน

ครอบครัวกรรมฐานเห็นไหม ครอบครัวของเรา ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าครอบครัวของเราจะรู้กันก่อน ครอบครัวของเรานี่รู้ เพียงแต่ว่า รู้แล้วมันเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษล่ะ

เห็นไหม เรามีแก้วแหวนเงินทอง เราจะเที่ยวใส่ไปโชว์เขาเดี๋ยวโจรปล้นหมดนะ เรามีแก้วแหวนเงินทองทุกคนเก็บไว้ในเซฟทั้งนั้นน่ะ ไม่มีใครเอามาโชว์หรอก ถ้าใครมีของเล็กๆ น้อยๆ แล้วเอาไปโชว์ไม่มีประโยชน์หรอก

สิ่งนี้ เรื่องโลกกับเรื่องความเป็นจริง ถ้าความเป็นจริงเห็นไหม วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา เวลาคิดถึงคติธรรมแล้วมันสะเทือนใจ คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความภูมิใจในลูกศิษย์ลูกหาของท่านนะ

เลือดในหัวอก ท่านดูแล ท่านกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมา แล้วเป็นเนื้อนาบุญของโลก ด้วยการเชิดชูศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องภูมิใจเป็นธรรมดา พระฉัพพัคคีย์ทั้ง ๖ และ พระสัตตรสวัคคีย์ทั้ง ๑๗ ที่คอยทำบัญญัติเป็นธรรมวินัยมา เป็นพระไตรปิฎกเกือบทั้งหมดเลย ฉัพพัคคีย์ สัตตรสวัคคีย์ทำมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เมตตาดูแลรักษามา

นี่ก็เหมือนกัน เราจะดูแลหัวใจของเราอย่างไร? เราจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร? เราจะเอาใจของเราไปสู่ที่ไหน? มันเป็นสิทธิของเราเห็นไหม ว่าเอกสิทธิ์ สิทธิของบุคคล บุคคลจะทำอย่างไรก็ได้ บุคคลจะเชื่อใครก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา

แต่ถ้าเราเอาเป็นประโยชน์ เราเอาความจริงเข้าเปรียบเทียบ นี่เพราะเราประพฤติปฏิบัติมาเราทำแบบนี้ ไปอยู่กับใครก็แล้วแต่ถ้านอกลู่นอกทางเก็บของหนี.. เก็บของหนี.. มันสิทธิของเขา เขาเป็นผู้ใหญ่ เราเป็นเด็ก เราไม่มีสิทธิที่จะให้เขาทำตามเราได้

ฉะนั้นถ้าสิ่งใดที่ใด ขอให้เราภาวนาเราจะอยู่ที่นั่นนาน สิ่งใดถ้าเขาไม่ให้เราภาวนา หรือเขาออกนอกลู่นอกทางเราก็ไปของเรา เราแสวงหาของเรา ครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ เราจะต้องทำปฏิบัติของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ

นี่พูดถึงวันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันนี้วันมาฆะบูชา เราจะต้องประพฤติปฏิบัติกันเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ใจเรานี้เป็นพุทธ ธรรม สงฆ์ ให้สมกับเราอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คืออุปัฏฐากหัวใจของเรา เอวัง